เด็ก 12 จมน้ำ ขณะมาทัศนศึกษาล่องแก่งใน จ.พัทลุง ด้านครูไม่ยอมให้ถ่ายภาพ ปฏิเสธให้ข้อมูลนักข่าว พบเด็กไม่สวมชูชีพระหว่างเกิดเหตุ ตำรวจ สภ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังได้รับแจ้งนักเรียนจมน้ำเสียชีวิต ในคลองห้วยน้ำใส บริเวณริมท่าน้ำสถานที่ล่องแก่งชื่อดัง ใน ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอม
จากการตรวจสอบผู้เสียชีวิตทำให้ทราบว่าผู้ตายเป็น เด็กชาย อายุ 12 ปี
นักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.แว้ง จ.นราธิวาส เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง จากการตรวจสอบเบื้องต้นนั้น ทางโรงเรียนได้นำนักเรียมามาทัศนศึกษาในพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. ซึ่งเป็นสถานที่ล่องแก่งขึ้นชื่อของจังหวัด โดยทางโรงเรียนได้เข้าพักค้างคืนในสถานที่แห่งนี้
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 07.30 น. ผู้ตายและเพื่อนนักเรียน 3-4 คน ได้ขึ้นไปเล่นบนสไลเดอร์ โดยมีปลายทางคือคลองห้วยน้ำใส คาดว่า ร่างของนักเรียนที่ลงเล่นสไลเดอร์เป็นกลุ่ม น่าจะกระแทกกัน จนเด็กจุกแน่น ก่อนลงไปในน้ำ และเป็นเหตุให้เด็กจมน้ำเสียชีวิต โดยน้ำนั้นลึกสองเมตร ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
อย่างไรก็ตามขณะที่ทางผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพัทลุงลงพื้นที่เก็บภาพ มีผู้ประกอบการและครู เข้ามาสั่งห้ามเก็บภาพ ไม่อนุญาตให้ทำข่าว ต้องมีการพูดคุยเจรจา จนยอมให้ถ่ายภาพได้บางส่วน แต่ไม่ขอให้ข้อมูล เบื้องต้นพบว่าเด็กนักเรียนที่ลงเล่นน้ำไม่ได้ใส่สวมชูชีพด้วย
ชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจยังได้บอกต่อว่า “ซอรี่ ซอรี่ มันใช้ไม่ได้ คุณเอาเชื้อโรคมาแพร่ประเทศไอ มันใช้ได้ที่ไหน คุณต้องคิดแล้วว่าคนอื่นเขาใส่หน้ากากหมด คุณไม่ใส่คนเดียว และบอกว่าเดี๋ยวให้พนักงานมาเชิญออก เก็ตเอาต์เลย พร้อมกับเดินไปที่ห้องคนขับรถไฟฟ้า”
ไม่มีรายงานว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น และเจ้าตัวได้ล็อกทวิตเตอร์ไปแล้ว
อย่างไรก็ตามทางรถไฟฟ้า BTS ได้ร่อนประกาศถึงกรณีดังกล่าว “จากมีการประกาศ ฯ การผ่อนคลายการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะแล้ว เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารส่วนรวม รถไฟฟ้าบีทีเอสขอความร่วมมือให้มีการสวมหน้ากาก ขณะใช้บริการรถไฟฟ้าตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนะครับ
หมอโอภาส เผย โควิดวันนี้ ยอดเพิ่มจริง ยอดผู้ป่วยนอน รพ. เพิ่ม
หมอโอภาส เผยสถานการณ์ โควิดวันนี้ ยอดผู้ป่วยเพิ่มจริง รวมถึงยอดผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 20% มั่นใจรับมือสถานการณ์โควิดระบาดได้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิดวันนี้ หลังจากมีรายงานถึงยอดผู้เสียชีวิตและยอดผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอมรับว่าขณะนี้ยอดผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นจริง ผู้เสียชีวิตไม่มากนัก เฉลี่ยไม่เกิน 10 รายต่อวัน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจึงต้องติดตามใกล้ชิด
จากการประชุมร่วมกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศรายงานว่า แต่ละแห่งยังรองรับสถานการณ์ได้แม้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง รักษาแบบผู้ป่วยนอก แพทย์ให้ยาไปรักษาตามที่วินิจฉัย ส่วนการรักษาใน รพ. ที่ต้องใช้เตียง ไอซียู เครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยก็ยังไม่ได้เพิ่มแบบมีนัยสำคัญจนต้องเพิ่มมาตรการ ก็มีแค่เน้นย้ำฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัย
“ส่วนสูงอายุที่มีข่าวเสียชีวิตที่บ้านช่วงนี้ คงต้องไปดูการเสียชีวิตแต่ละราย หลายรายอาการไม่เหมือนโควิด อยู่ ๆ เสียชีวิต ไปตรวจ ATK พบ แต่การตรวจ ATK เป็นการคัดกรองเบื้องต้น การวินิจฉัยยืนยันต้องตรวจรายละเอียดมากกว่านั้น ซึ่งกรมควบคุมโรคจะลงไปดูรายละเอียด ซึ่งแนวทางการรักษากลุ่มเสี่ยงที่ติดโควิดไกด์ไลน์ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง” นพ.โอภาสกล่าว ระบาดในรอบนี้ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ เป็นลักษณะของคลื่นเล็กๆ (Small Wave) การมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้นก็ยังอยู่ในการคาดการณ์ ซึ่งจะเพิ่มตามวงรอบ คือ ช่วงพฤศจิกายน และธันวาคม โดยหลังปีใหม่จะค่อยลดลง แต่ต้องดูเหตุการณ์จริงอีกครั้ง
ทั้งนี้ พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนมารับวัคซีน คือ สถานการณ์การระบาดของโรค เมื่อไหร่ที่มีผู้ติดเชื้อลดลง คนจะมาฉีดวัคซีนกันน้อยลง แต่หากมีจำนวนผู้ติดเชื้อมาก ประชาชนก็จะมารับวัคซีนเพิ่มขึ้น เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) ตนและรองปลัด สธ. ประชุมทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) โรงพยาบาล (รพ.) ศูนย์ รพ.ทั่วไป ทั่วประเทศ โดยมีการสั่งการกำชับให้กำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีนในระยะนี้อย่างจริงจัง พร้อมมีการติดตามต่อเนื่อง
หมอโอภาส กล่าวว่า วิธีการคือ 1.ให้ทุก รพ.ในสังกัด สธ. จัดจุดฉีดวัคซีนโควิด กำหนดการให้บริการอย่างเหมาะสม เช่น กำหนดวันฉีดเพื่อให้ประชาชนมารับบริการอย่างสะดวก 2.กรณีประชาชนมาวอล์คอิน (Walk-In) ก็ต้องให้ให้บริการฉีดให้ 3.สำหรับวัคซีนบางชนิดที่ 1 ขวด ฉีดได้หลายโดส ก็ขอให้แต่ละ รพ.บริหารจัดการให้เหมาะสม พิจารณาถึงประโยชน์ เช่น 1 ขวดแต่ต้องฉีด 1 คน ก็ให้ฉีดดีกว่ารอให้ครบแล้วค่อยฉีด สุดท้ายก็ไม่ได้ฉีด
โดยย้ำกับผู้ปฏิบัติงานว่าไม่ต้องกังวล เนื่องจากเรามีวัคซีนเพียงพอ สามารถฉีดให้ประชาชนได้เลย อย่างไรก็ตาม สามารถติดต่อรับวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพราะเราทราบดีกว่าถ้าประชาชนต้องเดินทางมาที่อำเภอ ก็จะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเดินทาง เราจึงต้องนำวัคซีนไปใกล้บ้าน หากที่ใดสามารถทำรถเคลื่อนที่ฉีดได้ (Mobile unit) ก็ควรนำไปฉีดให้กับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชน
“จะมีการติดตามสถานการณ์ผู้ติดเชื้อและวัคซีนต่อเนื่อง เพื่อสรุปรายงานปลายเดือนนี้ สำหรับไวรัสกลายพันธุ์เป็นเรื่องปกติ อย่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ ก็กลายพันธุ์จนเราต้องฉีดวัคซีนทุกปี เชื้อโคโรน่าไวรัสก็เช่นกัน ที่กลายพันธุ์จากสายดั้งเดิม จนมาถึงโอมิครอน สำหรับสายพันธุ์ BA.2.75 ที่เพิ่มขึ้นช่วงนี้ แต่ยังเป็นการกลายพันธุ์ย่อย องค์การอนามัยโลก(WHO) ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อสายพันธุ์ โดยภาพรวมยังเป็นโอมิครอนอยู่” นพ.โอภาส กล่าว
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา สล็อตเว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ เว็บสล็อตแท้ สล็อตเว็บตรง